ทำเงินกับ LINKBUCKS

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

แนวโน้มราคาน้ำมันดิบปี 2013


แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในปี 2013 โดย มนูญ ศิริวรรณ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2556 เวลา 00:00 น.
ราคาน้ำมันดิบเปิดศักราชใหม่ด้วยการปรับตัวสูงขึ้นในการซื้อขายในวันแรกของปี 2013 เมื่อวันที่ 2 มกราคม โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ในตลาด NYMEX พุ่งขึ้นไปทะลุ 93 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบมากกว่าสามเดือนนับจากวันที่ 18 กันยายน ปีที่แล้วเป็นต้นมา ในขณะที่น้ำมันดิบ BRENT ในตลาด ICE ก็พุ่งขึ้นไปสูงกว่า 112 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดในรอบมากกว่าสองเดือนเช่นเดียวกัน


สาเหตุหลักของการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันในช่วงนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความสำเร็จในการทำข้อตกลงระหว่างรัฐบาลของประธานาธิบดีโอบามากับสมาชิกสภาคองเกรสพรรค Republican ในเรื่องการยืดอายุลดภาษีให้กับคนชั้นกลางและครอบครัวชาวอเมริกันที่มีรายได้ต่ำกว่า 400,000 – 450,000 เหรียญสหรัฐฯ/ปี และขึ้นภาษีคนและครอบครัวที่มีรายได้สูงกว่านั้นจาก 35% เป็น 39.6% ซึ่งทำให้สหรัฐฯรอดพ้นจากหุบเหวทางการคลังหรือ Fiscal Cliff ไปได้อย่างหวุดหวิด

แต่ถ้ามาดูแนวโน้มของราคาน้ำมันในปีนี้ทั้งปี ผมยังเชื่อว่าราคาน้ำมันในปีนี้น่าจะอ่อนตัวลงและไม่ผันผวนเท่ากับราคาน้ำมันในปีที่แล้ว ทั้งนี้ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ถ้าดูจากปัจจัยพื้นฐาน ความต้องการน้ำมันในปีนี้จะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดว่าปีนี้ความต้องการน้ำมันของโลกจะเพิ่มขึ้นเพียง 8 แสนบาร์เรล/วัน หรือ 1.1% จากปีที่แล้วเท่านั้น ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลกยังประสบภาวะถดถอยหรือยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างเช่น ประเทศในกลุ่มอียู (โดยเฉพาะในแถบยูโรโซน) สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เป็นต้น ในขณะที่ประเทศที่เคยเป็นหัวรถจักรในการฉุดลากเศรษฐกิจโลกอย่างจีน อินเดียบราซิล และรัสเซีย การเติบโตทางเศรษฐกิจก็ลดลง ดังนั้นความต้องการน้ำมันจึงไม่ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

2. ทางด้านการผลิตและการจัดหาน้ำมัน ปริมาณการผลิตน้ำมันในปีนี้จะเพิ่มมากขึ้นจากปีที่แล้ว โดยเฉพาะจากประเทศนอกกลุ่มโอเปค อันมีรัสเซียและสหรัฐฯเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ในขณะที่กลุ่มโอเปคเองก็ยืนยันแล้วว่าจะผลิตน้ำมันดิบออกมาตามโควต้าเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน (แต่ตัวเลขที่ผลิตจริงเกินโควต้าอยู่ถึง 1 ล้านบาร์เรล/วัน) ดังนั้นปริมาณการผลิตน้ำมันในปีนี้ก็จะยังคงล้นเกินความต้องการอยู่ต่อไป ซึ่งจะทำให้สต๊อคน้ำมันของโลก (โดยเฉพาะของประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่ในกลุ่ม OECD) เพิ่มสูงขึ้น ก็จะยิ่งกดดันราคาน้ำมันดิบให้ลดลง กลุ่มโอเปคเองก็อยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะลดการผลิตเพื่อดึงราคาน้ำมันขึ้น ก็ตกลงกันไม่ได้ว่าใครควรจะลดเท่าไร เพราะแต่ละประเทศก็ไปสัญญากับประชาชนใว้ว่าจะทำโครงการสวัสดิการสังคมหรือโครงการประชานิยมที่ต้องใช้เงินงบประมาณมากมายมหาศาล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความไม่สงบในประเทศแบบ Arab Spring จึงต้องการรายได้จากน้ำมันเพื่อไปใช้จ่ายในโครงการต่างๆ จึงคาดเดาได้ว่าปริมาณน้ำมันในปีนี้จะต้องล้นตลาดอย่างแน่นอน

3. บทบาทของสหรัฐฯที่เปลี่ยนไปในตลาดพลังงานโลก ปัจจุบันสหรัฐฯเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยนำเข้าประมาณ 8-9 ล้านบาร์เรล/วัน จากปริมาณการใช้ทั้งสิ้น 18 ล้านบาร์เรล/วัน แต่เนื่องจากการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ในการขุดเจาะน้ำมันที่รียกว่า การขุดเจาะในแนวราบ (Horizontal Drilling) และการขุดเจาะโดยการอัดน้ำ ทรายและสารเคมีด้วยแรงดันสูง (Hydraulic Fracturing หรือ Fracking) ลงในชั้นหินดินดาน (Rock Formation) ทำให้สหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันดิบจากชั้นหินดินดาน (Shale Oil) ได้เพิ่มขึ้นในต้นทุนที่ถูกลงประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลเท่านั้น โดยในปีที่แล้วสหรัฐฯผลิตน้ำมันดิบในประเทศได้สูงถึงเกือบ 7 ล้านบาร์เรล/วัน มากที่สุดในรอบ 19 ปี นับจากปี 1993 เป็นต้นมา การที่สหรัฐฯสามารถผลิตน้ำมันดิบได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าสหรัฐฯจะพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศน้อยลง โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง ซึงแน่นอนว่าจะกดดันราคาน้ำมันในตลาดโลกให้ลดต่ำลง และลดความผันผวนในด้านราคาลงด้วย

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด ผมจึงมีความเห็นว่าราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นไปในช่วงปีใหม่นี้ น่าจะเป็นเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ในระยะยาวราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวลดลงตามปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยราคาน้ำมันดิบ WTI น่าจะอยู่ระหว่าง 80-95 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และน้ำมันดิบ Brent น่าจะอยู่ระหว่าง 100-115 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วน Dubai น่าจะอยู่ระหว่าง 95-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

ยกเว้นแต่ว่าจะมีปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆที่ไม่คาดคิดโผล่ขึ้นมา เช่น เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรง เกิดสงครามหรือการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน หรือเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจถดถอยมากกว่าที่คาดในยุโรป ทำให้กระทบไปทั่วโลก ถ้าเป็นอย่างนี้ราคาน้ำมันก็มีสิทธิ์ผันผวนขึ้นลงได้มากระหว่าง 25-30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เลยทีเดียว

ก็ช่วยๆกันภาวนาให้ปีนี้อย่าให้มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับโลกของเราเลยนะครับ จะได้มีโอกาสใช้น้ำมันถูกลงกันบ้างซักปีนึง !!!


มนูญ ศิริวรรณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น